วิธีการก็ไม่มีอะไรมาก แค่หาเสื้อสีอ่อนมา แล้วก็ขีด ๆ เขียน ๆ สิ่งที่ต้องการลงไป
พอเสร็จแล้วก็เอากระดาษวางทับแล้วทาบด้วยเตารีดร้อน ๆ เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้วครับ
สายน้ำไหล ไหลเรื่อย ๆ สู่ที่ต่ำ นำพาความชุ่มชื้นและชีวิต ทุกชีวิต ต่างพึ่งพา และ สัมพันธ์ ซึ่งกันและกัน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยที่บางทีเราไม่เคยรับรู้เลยด้วยความรู้สึกที่หยาบคาย และจิตใจที่หม่นมัว
วิธีการก็ไม่มีอะไรมาก แค่หาเสื้อสีอ่อนมา แล้วก็ขีด ๆ เขียน ๆ สิ่งที่ต้องการลงไป
พอเสร็จแล้วก็เอากระดาษวางทับแล้วทาบด้วยเตารีดร้อน ๆ เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้วครับ
วันนี้ลูกอายุครบ 33 สัปดาห์แล้วก็ไปทำอัลตราซาวที่โรงพยาบาลเปาโล หมอบอกว่าคุณแม่น้ำหนักเพิ่มเยอะไปนิด วัดขนาดลูกแล้วใหญ่กว่าเด็ก 33 สัปดาห์ หมอบอกว่าขนาดเท่าเด็ก 34 สัปดาห์ สงสัยแม่จะบำรุงมากไป
ใครไม่เคยมีลูกก็มาดูเลยครับว่าเค้าทำกันอย่างไง?
จักรภพ พูดหมิ่น ผู้รักษากฏหมายบางคนก็ยังไม่จับ จนทหารต้องออกโรงบีบ ดาตอปิโด ด่าเบื้องสูง นายสุชาติ นาคบางไทร ออกมาหมิ่นสถาบันอีก ตอนนี้หนีไปอย่างไร้ร่องรอย เหมือนกับมีคนจงใจ ให้ออกมาด่า ให้ชนสถาบัน แล้วเปิดทางให้หนี
วีระ มุสิกะพงษ์ แกนนำอีกคน สมัยก่อนโดนคดีหมิ่นเบื้องสูงจนต้องติดคุกติดตารางอยู่นาน
แต่ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ พลเอกเปรม ติณณสูลานนท์ เมตตา เห็นว่า น่าจะกลับตัวได้ จึงกราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัยโทษให้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงมีพระเมตตาพระราชทานอภัยโทษให้
6 พฤษภาคม 2550 วีระ มุสิกะพงษ์ ออกมาหมิ่นสถาบันบนเวทีสนามหลวงอีกครั้ง ดูเหมือนตำรวจใช้เวลานานมากในคดีนี้ มาถึงตอนนี้ ปีกว่าๆแล้ว เรื่องก็ยังไม่ถึงอัยการ นายตำรวจระดับสูง บอกว่ายังต้องสอบพยานอีก ไม่ทราบจะสอบถึงใหน
เมื่อพวกนี้เล่นเรื่องหมิ่นเบื้องสูงแล้วเห็นว่ากลุ่มที่เข้ามาร่วมบางคนไม่เอาด้วย ทำให้เสียมวลชนก็เปลี่ยนแผน โดยสร้างภาพให้แนวร่วมเชื่อว่าเคารพเทิดทูนต่อสถาบัน ให้มีการยืนเคารพ ให้มีเพลงสดุดีมหาราชา ประชาชนแนวร่วมส่วนใหญ่ เคารพเทิดทูนสถาบันอยู่แล้ว ก็เต็มใจทำและเป็นแนวร่วม นปช.
เอาเถอะครับ พรุ่งนี้อะไรจะเกิดก็คงต้องเกิด
ขณะที่กำลังนั่งจิบกาแฟอยู่อย่างสสบายอารมณ์ ก็ได้ยินเสียงเจ้านกหัวขวานบินมาเป่าปาก วิ๊ดวิ้ว แซวสาว ๆ ที่มาพักตั้งแคมป์ ที่คลองปลากั้ง ก็เลยต้องออกเดินดูและเก็บภาพมาฝากกันครับ
เส้นทางเดินป่าที่ไม่ไกลมาก มีบ่าง (แต่ไม่ช่างยุ) รอต้อนรับพวกเรา
ผมชอบของเล่นของเด็กมอแกนมาก ๆ เลยครับ เด็กน้อย วิ่งลงชายหาดพร้อมกับกระป๋อง และอ่างใบใหญ่ ช่วยกันไล่จับปูเสฉวนที่เดินออกมามากมายตามชายหาดในยามเย็น
เจ้าปูพวกนี้เป็นของเล่นชั้นดีของเด็ก ๆ ครับ เด็กในเมืองอาจเล่นรถบังคับ วิดีโอเกมส์ เกมส์ออนไลน์ แต่เด็กมอแกน บนเกาะเล็ก ๆ นี้มีของเล่นที่ผูกพันธรรมชาติ และสอนให้พวกเค้าเคารพในคุณค่าชีวิตสัตว์ครับ
เมื่อเด็ก ๆ ช่วยกันจับปูมาได้เป็นจำนวนมากพอ ก็จะช่วยกันขุดหลุมทรายขนาดใหญ่ครับ จากนั้นเค้าก็จะเทปูทั้งหมดลงไปในหลุมครับ (ไม่ใช่เทลงไปแล้วกลบทราบทับนะครับ ทำแบบนั้นมันโหดร้ายเกินไป และไม่ใช่เรื่องที่เด็ก ๆ คิดจะทำ) แล้วก็มีการปักกิ่งไม้ที่มีกิ่งมากมายลงไปกลางหลุม เจ้าปูน้อยเหล่านี้ก็จะปีนขึ้นตามกิ่งไม้ ตัวไหนแข็งแรกก็ปีนได้สูงได้เร็ว
เมื่อเด็ก ๆ เล่นกันเบื่อแล้วก็จะเอาปูทั้งหมดกลับไปปล่อยที่ชายป่า ให้เค้าดำเนินชีวิตของเค้าต่อไป
ไม่มีคำบรรยาย เพียงมีหัวใจรักการเดินทาง
ทุกเส้นทางที่ผันผ่าน มิตรภาพ ความฝัน ความจริง
ทุกสิ่งผ่านตา หลายอย่างกระทบใจ
จดจำไว้เพียงสิ่งดี
บันทึกความสวยงามของทะเลไทยที่หมู่เกาะสุรินทร์ อีก 10 ปีข้างหน้า เมื่อชีวิตรุ่นหลังเติบโต พาลูก พาหลาน กลับมาที่นี่อีกครั้ง จะเหลือสิ่งเหล่านี้ให้เด็ก ๆ ดูหรือเปล่านะ ?
เป็นคำถามที่ผม และหลายคนไม่กล้ายืนยันในคำตอบ เพราะทุกวันนี้คนไทยหลายคน ยังคงใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง นักการเมืองและนักธุรกิจยังคงหวังกอบโกยผลประโยชน์ทางธุรกิจการท่องเที่ยว โดยมีคำว่าการอนุรักษ์เป็นเพียงข้ออ้าง และนโยบายที่ไม่มีการนำไปปฎิบัติอย่างจริงจัง
ผมนั่งนึกถึงสภาพอุทยานที่อาจต้องถูกเปลี่ยนให้ไปดำเนินการโดยเอกชน ต้องมีตึกสวย มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ราคาค่าบริการการท่องเที่ยวที่สูงขึ้นเพื่อผลกำไรทางธุรกิจ ต้องเอาคนมาเที่ยวมาก ๆ เมื่อถึงวันนั้น ธรรมชาติคงรองรับไม่ไหนแน่ ๆ ครับ แล้วเราจะเหลืออะไรไว้ให้ลูกหลาน หรือจะเหลือเพียงภาพถ่ายและนิทานที่เล่าถึงความสวยงามของทะเลไทย
จากนั้นก็ตรวจดูโน่นดูนี่ แล้วก็ดูว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง
ตึก ตึก ....
ตึก ตึก ....... ตื่นเต้นเหมือนกันเฮะ จะผู้ชายหรือผู้หญิงวะ
เห็นหมอเลื่อนอุปกรณ์ไปมา ก็มองตามรูปที่ปรากฏบนจอ แม้ดูไม่ค่อยออกแต่ก็เดาเอาว่า ไอ้นั่นนะ กระจู๋ แน่ ๆ ซักพักหมอก็เอาเมาท์ไปคลิ๊กแล้วก็บอกว่า น่าจะผู้ชาย90 % แล้วละ
(แอบนึกในใจสงสัยอีก 10 % หมอจะให้ไปลุ้นเอาตอนโต)
5 Day in Umpang
บันทึกทริปแรกหลังการแต่งงาน
หนึ่งปี สองปี เวลาเดินทางผ่านไปเรื่อย ๆ เหมือนสายน้ำที่ถั่งโถมลงมาจากหน้าผาสูงชันและยิ่งใหญ่อลังการของน้ำตกทีลอซู ที่ยังคงถาโถมลงมาอย่างไม่ขาดสายเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตใหญ่น้อย ภายใต้สายน้ำเย็นเยียบ หล่อเลี้ยงผู้คนต้นน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำที่ลู่น้ำแม่กลอง การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางครั้งแรกที่ผมมีแว่นตาดำน้ำ ติดตัวไปด้วย ภายใต้สายน้ำเย็น แต่ใสราวแผ่นกระจก ทันทีที่เราได้จุ่มตัวลงไปในสายน้ำ ความเย็นแสนเย็นกระทบกับผิวกาย หนาวสะท้าน ไปทั้งกาย แต่เมื่อเราจุ่มหัวลงไปในสายน้ำ ภาพที่ปรากฎต่อสายตาของเราผ่านกระจกกันน้ำคืออีกโลกหนึ่ง ชิวิตเล็ก ๆ ซึ่งมักเปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลง ที่เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติแห่งนี้มาช้านาน โชคดีของน้ำตกทีลอซูแห่งนี้ที่อยู่ห่างไกล และไม่อนุญาติหให้นักท่องเที่ยวเอาสบู่ ยาสระผม เข้ามาอาบน้ำ กันที่น้ำตก แต่สิ่งที่ผมเห็นอาจถูกต้องเพียงช่วงเวลานี้ที่ผมยืนอยู่ที่นี่ เพราะยังไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากถาโถมเดินทางเข้ามาชมความงาม ของน้ำตกทีลอซู หากเป็นช่วงเวลานั้นจริงผมอาจได้เห็นภาพที่ต้องทำให้หงุดหงิดใจ อาจเห็นได้เห็นภาพสาวลงเล่นน้ำพร้อมสบู่และยาสระผม ด้วยความสนุกสนานโดยไม่รู้ว่า ตนเองกำลังเบียดเบียน ชิวิตเล็กอื่น ๆ (จะบ่นทำไมเนี่ย ไม่บ่นดีกว่า) กลับไปเริ่มต้นการเดินทางกันที่ ริมน้ำป่าคารีสอร์ท (http://www.rimnampakha.com/)
จากกรุงเทพสู่ตาก จากตากเข้าสู่อุ้มผางดินแดนในอ้อมกอดของขุนเขา ซึ่งกว่าจะเข้ามาถึงที่นี่ได้จะต้องผ่านถนนลอยฟ้า ที่ตัดผ่านทิวเขาลูกแล้วลูกเล่า ผ่านเส้นทางมาได้ครึ่งทางกว่า ๆ ก็ทำเอาสมาชิกเราหลายคนเริ่มเมาโค้ง จนต้องหยุดพักสายตาสูดอากาศบริสุทธิ์ ก่อนเดินทางกันต่อ ในที่สุดก็มาถึงที่พักตอนบ่าย ๆ ริมน้ำป่าคารีสอร์ท คุณอั้มรอรับพวกเราและจัดเตรียมที่พักไว้ให้เรียบร้อย เป็นบ้านพักสองชั้นสองห้องนอน บริเวณรีสอร์ท ด้านหลังติดคลองเล็ก ๆ บรรยากาศร่มรื่น และอาหารอร่อย
จากอุ้มผางสู่น้ำตกทีลอซูการเดินทางจากอุ้มผากไปถึงน้ำตกทีลอซู เดี๋ยวนี้ไม่ยากลำบากเหมือนสมัยก่อนแล้วครับ เพราะเส้นทางจากอุ้มผางถึงน้ำตกทีลอซู ปัจจุบันเป็นถนนลาดยางรถวิ่งกันแสนสบาย ผิดกับสมัยก่อนที่เป็นลูกรัง ฝนตกมาทีนี่วิ่งไปกันแทบไม่ได้ต้องทั้งดึงทั้งลากกันไป ก็เป็นไปตามการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยครับ เราเดินทางจากอุ้มผางโดยใช้วิธีการล่องแก่ง ไปยังผาเลือดแล้วก็ต่อรถไปจนถึงน้ำตกทีลอซู สำหรับเส้นทางจากอุ้มผางถึงผาเลือดนี้เป็นการล่องเรือยางแบบสบาย ๆ ครับ เพราะไม่มีแก่งมาก เป็นการล่องเรือชมนกชมไม้ และชมความงามของน้ำตกสองฝากฝั่ง และหน้าผาสูงที่ต้องนอนชมความงาม น้ำตกระหว่างทางที่จะได้ชมความงามได้แก่ น้ำตกทีลอจ่อ ซึ่งก็จะมีหาดทรายให้จอดเรือให้นักท่องเที่ยวได้ลงไปพักผ่อ่นและถ่ายรูปกันตามสบาย น้ำตกสายรุ้งที่เป็นละอองน้ำกระจายทั่วสะท้อนกับแสงอาทิตย์ ส่องประกายให้เกิดภาพรุ้งงามประทับใจนักเดินทาง ล่องกันไปเรื่อย เรื่อย ก็ชมความงามของหน้าผาต่าง ๆสองข้างทาง หากสังเกตดี ๆ ก็จะได้เห็นนกต่าง ๆ กิ้งก่า หรืองูข้างทาง บนยอดผาสูงบางแห่งจะมีต้นจันผาขึ้นเรียงเป็นทิวสวยงาม
อีกจุดหนึ่งซึ่งเรือจะจอดพักให้ในการเดินทางก็คือบริเวณ บ่อน้ำร้อน ซึ่งผมคิดว่าเป็นความมหัศจรรย์ธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งที่บรรจงสร้างสรร ให้มีบ่อน้ำร้อน อยู่ใกล้ ๆ กับสายน้ำ ซึ่งบ่อน้ำร้อนก็จะมีน้ำร้อนไหลออกมาตลอดปี จากจุดนี้ก็ล่องเรือกันเรื่อยเปื่อยผ่านแก่งต่าง ๆ เรียกความสนุกเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างทาง และไปสุดการเดินทางในสายนที ที่บริเวณบ้านผาเลือด จุดเริ่มต้นการเดินทางอีกครั้งด้วยรถเพื่อเข้าสู่น้ำตกทีลอซู สมัยที่ผมเดินทางไปเมื่อประมาณสองปีที่แล้วเส้นทางสายนี้กำลังทำถนนลาดยางจากผาเลือดเข้าสู่ตัวน้ำตก คาดว่าปัจจุบันทางคงสะดวกสบายมากแล้วครับ
สุดยอดจริง ๆ ครับ อลังการน้ำตกทีลอซู ขอให้ช่วยกันดูแลธรรมชาติที่งดงามแบบนี้คงอยู่กับเราไปนานที่สุดนะครับ
เก็บเอามาฝากครับ ชีวิตน้อย ๆ
============================================================
เก้าโมงเช้าเสียงโทรศัพท์ Moto Q ก็ดังขึ้นตรงเวลาที่สุดสำหรับเพื่อนคนนี้ 'เฮ้ยกูถึง itSquare แล้วนะ' เสียงจากต้นทางทำให้ผมต้องรีบอาบน้ำและขนของขึ้นรถแบบด่วนที่สุด เพราะเป็นเวลาที่ผมนัดให้โอมมาเจอกันที่ iTSquare ก่อนออกเดินทาง และนี่ก็จะเป็นการไปเที่ยวเขาใหญ่ครั้งแรกของเพื่อนผมคนนี้
10 โมงเช้าแวะกินอาหารเช้าข้าวหน้าเป็ด ข้าวหมูแดงร้านประจำที่ผมมักจะแวะไปฝากท้องเมื่อผมต้องเดินทางออกทาง โดยออกทางวิภาวดี-รังสิต ร้านนี้อยู่ในซอยเข้ามหาวิทยาลัยรังสิต อิ่มท้องแล้วก็ขับเรื่อยเปื่อยออกนครนายก จุดหมายแรกก็มุ่งหน้าน้ำตกวังตะไค้ร และเขื่อนคลองท่าด่าน เพื่อทานข้าวกลางวันและลงแช่น้ำเล่น ที่จริงบริเวณแถวนี้ก็มีรีสอร์ท และโฮมสเตย์ให้เลือกพักอยู่จำนวนมาก หากใครอยากเดินทางมาพักผ่อน สบาย ๆ ใก้ล ๆ กรุงเทพก็เป็นที่ ๆน่าสนใจไม่น้อย แต่จุดมุ่งหมายของผมคือเขาใหญ่ครับ เพราะคิดว่าน่าจะมีอะไรให้ผมและเพื่อนดูมากกว่าการนอนดูทีวีอยู่ในบ้านพักใก้ล ๆ ตัวเมือง
บ่ายสามโมงกว่า ๆ รถของผมก็ขับมาถึงทางขึ้นเขาใหญ่ แวะจ่ายค่าธรรมเนียมที่ด่านก็เลยสอบถามถึงเรื่องการจำกัดนักท่องเที่ยวที่เป็นข่าวอยู่ ก็ได้ความว่ายังไม่มีการจำกัดอะไร เพราะยังไม่มีหนังสือแจ้งมาอย่างเป็นทางการ (อ้าวเป็นงง แล้วออกข่าวซะ..) การขับรถขึ้นทางด่านปราจีนบุรี หากมีเวลาและขายังมีกำลังพอก็ควรจะแวะ น้ำตกเหวนรกซึ่งเป็นน้ำตกหนึ่งที่ขึ้นชื่อเลยนะครับ
เดี๋ยวนี้ทางเดินต่าง ๆเค้าทำไว้ดีมากเป็นทางคอนกรีต และบันไดที่จะเดินลงไปดูน้ำตกก็เปปลี่ยนเป็นบันไดคอนกรีต ที่แข็งแรก ผิดกับเมื่อปีก่อนที่ยังเป็นบันไดไม้แคบ ๆ ผุ ๆ แต่ก็ได้อารมณ์กันไปคนละแบบนะครับ บันไดเก่า ๆ ใก้ลพังมันก็ทำให้เราได้รู้สึกถึงความลำบากก่อนที่จะได้เสพความงาม และละอองน้ำจากสายน้ำตกที่ไหลลงมากระทบโขดผาหินฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ แต่ทำใหม่ก็ดีครับรู้สึกปลอดภัยดีสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมา และทำให้คนแก่เดินได้ง่ายขึ้น
วันนี้ที่ผมมาถึงสายน้ำตกก็อยู่ในระดับที่แรงใช้ได้เลยครับ สายน้ำเต็มหน้าผาที่ถาโถมลงมาอย่างบ้าคลั่ง ปิดบังแผ่นหน้าผาสีดำเบื้องหลังจนมิด รอบบริเวณปกคลุมไปด้วยละออกน้ำที่ฟุ้งกระจาย จนแทบจะไม่กล้าเอากล้องออกมาถ่ายภาพ (แต่ความอยากถ่ายภาพสวย ๆ มาเก็บไว้มักมีมากกว่าความกลัวเสมอ)
ออกจากน้ำตกด้วยความสดชื่นที่ได้เหมือนได้รับการเติมพลังจากสายน้ำตกที่อลังการอยู่เบื้องหน้า ก็เดินทางสู่จุดกางเต็นท์ ลำตะคอง
จุดกางเต็นท์ ที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จะมีอยู่สองจุดใหญ่ ๆ ครับ คือจุกกางเต็นท์ผากล้วยไม้ และจุดกางเต็นท์ลำตะคอง สำหรับคนที่ไม่ชอบการกางเต็นท์ก็สามารถจองบ้านพักในอุทยานได้ครับซึ่งก็มีอยู่หลาย ๆ โซนให้เลือกพัก สำหรับผมยังไม่เคยใช้บริการบ้านพักบนอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เลยครับ เพราะชอบบรรยากาศการกางเต็นท์มากกว่าและการเดินทางมาแต่ละครั้งก็มากันไม่กี่คน
ทุ่งกวางและการขับรถชมวิว บนเขาใหญ่สามารถที่จะมีโอกาศได้พบสัตว์ป่ามากเลยครับ สิ่งที่ผมคิดว่าทุกคนที่มาเขาใหญ่ต้องได้พบและเห็นอย่างแน่ ๆ ก็คือเก้ง และกวางครับ สามารถพบเห็นได้ง่ายในเวลาเย็น ๆ โดยขับรถเส้นสนามกอลฟ์ หรือไปจอดรถรอดูที่บริเวณ โป่งทุ่งกวาง สำหรับการเดินทางในครั้งนี้ผมก็โชคดีที่ได้มีโอกาสได้เห็นหมาป่า บริเวณโป่งทุ่งกวางในขณะที่ไปเฝ้ารอดูอยู่ในเวลาเย็น เดิมทีตั้งใจว่าจะไปรอดูกวาง และนกที่จะบินกลับรัง แต่กลับพบว่ามีหมาป่าหลายตัวออกมาบริเวณโป่ง ถึงจุดสุดยอดไปหนึ่งครั้งสำหรับการเดินทางวันนี้
แล้วจุดสุดยอดครั้งที่สองของวันนี้ก๊คือขณะที่กำลังขับรถจากที่ทำการอุทยานเพื่อกลับไปยังจุดกางเต็นท์ลำตะคอง เมื่อผมขับรถเลี้ยวขวาที่สามแยกเพื่อไปจุดกางเต็นท์ได้ไม่เท่าไหร่ ก็พบรถกระคันหน้าผมคันหนึ่งจอดนิ่งกางถนน เมื่อผมขับไปถึงก็เห็นเจ้าพลางเชือกหนึ่งกำลังมีความสุขอยู่กับการหาอาการกินอยู่ข้างทาง พวกรถที่ขับตามมาทุกคันจอดดู ผมรีบหยิบกล้องวีดีโอ เพื่อบันทึกภาพทันทีเพราะเดินทางมาเที่ยวเขาใหญ่ก็หลายทีเพิ่งมีวันนี้ที่มีโอกาสได้เจอช้างบนเขาใหญ่
----------------------------------------------------
คนหากิน สัตว์หากิน เราไม่เบียดเบียนกันและกัน
ต้นไม้งาม คนงดงาม งามน้ำใจไหลเป็นสายธาร
ทุกชีวิตทุกฝ่ายเบิกบาน มีคนมีต้นไม้ มีสัตว์ป่า
ตอนที่สองครับ อากาศคืนนี้ไม่หนาวมากเนื่องจากที่นอนอยู่ในหุบ ตื่นนอนแต่เช้ารีบเดินขึ้นเนินเขาเพื่อดูบรรยากาศยามเช้ารอบ ๆ ทุ่งเขาแหลม
บันทึกการเดินทางท่องเที่ยวเขาใหญ่ ชุดนี้เป็นการเดินทางไป ผาเดียวดาย การเดินทางเข้าหน่วยย่อย ขญ 19 เขาแหลม ครับ ระหว่างการเดินทางพบสัตว์ ทั่วไปที่พบได้ง่ายในพื้นที่เขาใหญ่ และปิดท้ายด้วยภาพบันทึกการดูสัตว์กลางคืน เดินทางไปครั้งนี้มีโอกาสได้พบ แม่น เก้ง กวาง นกเค้าสีน้ำตาล และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำประเภทกบ คางคก ชนิดต่าง ๆ
ได้มีโอกาสไปกับเพื่อน ๆ ใน Siamensis.org พาน้อง ๆ ที่สาธิตจุฬาไปทำกิจกรรมที่ศูนย์ศึกษาธรรมชาติ น้ำตกเจ็ดคต-โป่งก้อนเส้า พาน้อง ๆเดินป่าตอนกลางคืน เป็นจังหวะดีที่ช่วงที่ไปถึง ต้นงิ้วหน้าบ้านพัก(ของคนอื่น) กำลังออกดอกบานสะพรั่งเรียกแมลงมากกินน้ำหวาน นกก็เลยมากันเต็มไปหมด บ้างก็มากินน้ำหวาน บ้างก็มากินแมลง ผมก็เลยนอนดูนกใต้ต้นงิ้ว อากาศสดเป็นใจลมโชยเอื่อย ๆ ทริปนี้ สบายจริง ๆ
จากน้ำตกชั้นที่สองเราก็ออกเดินทางกันต่อโดยเส้นทางจากน้ำตกชั้นที่สองเพื่อลงไปสู่ชั้นที่สามของน้ำตกนั้น เส้นทางเดินก็เริ่มแย่ลง และเป็นทางลงลาดชัน บางช่วงต้องก้มตัวมุดลงจนแทบจะคลานโดยเฉพาะช่วงทางลงสู่น้ำตกชั้นที่สามในช่วงสุดท้าย
แต่เมื่อพวกเราผ่านลงมาถึงและพบกับความงามของสายน้ำที่พุ่งลงมาจากหน้าผาสูงแตกกระจาย ละออกน้ำกระจายไปทั่วตามแรงลมที่พัดระลอก ความสดชื่นจากสายน้ำที่กระทบผิวกายที่เหนียวและร้อนจากการเดินลงมาไกลก็ทำให้เราสดชื่นและหายเหนื่อยไปทันที น้ำตกชั้นที่สามนับว่าเป็นชั้นที่สวยที่สุด
จากน้ำตกชั้นที่สามต่อไปก็เป็นชั้นสุดท้ายคือชั้นที่สี่ คณะเดินทางของเราเดินทางย้อนกับขึ้นจากน้ำตก และไต่ทางขึ้นไปจนถึงสุดทางบรรไดไม้ไผ่ที่ไต่ลงมาเลียบขอบผาเพื่อจะเดินทางไปยังน้ำตกชั้นที่สี่ แต่เมื่อผมและเพื่อลองค้นหาเส้นทางโดยพยามหาทางปีนเขาให้ต่ำลงไปอีก แต่ก็ไม่สามารถค้นหาเส้นทางได้ จึงมั่นใจว่าทางเดินลงสู่น้ำตกชั้นที่สี่คงไม่ได้เดินต่ไปจากทางช่วงนี้ แต่น่าจะเป็นการเดินตามกระแสน้ำจากชั้นที่สามไปเรื่อย ๆ เวลาขณะนั้นประมาณสี่โมงเย็นพวกผู้หญิงที่เดินทางมาด้วยเริ่มหมดแรกและไม่อยากไต่ทางลงเขาไปยังน้ำตกชั้นที่สามอีกครั้งเนื่องจากทางค่อนข้างชันและลำบากจึงตัดสินใจจะเดินกลับไปแคมป์และทำอาหารรอ ดังนั้นจึงมีเพียงผมและเพื่อนเพียงสองคนที่ตัดสินใจจะเดินต่อไปให้ถึงน้ำตกชั้นสุดท้าย
แต่จนในที่สุดแล้วผมก็ไม่สามารถลงไปถึงน้ำตกชั้นที่สี่ได้ คงมีเพื่อนเพียงคนเดียวในคณะเดินทางที่ได้ลงไปถึงน้ำตกชั้นที่สี่ เนื่องจากเส้นทางเดินจากน้ำตกชั้นที่สามไปปถึงชั้นที่สี่ เป็นทางที่ไม่มีทางเดิน และในช่วงสุดท้ายที่ต้องปีนเขาลงไปเราต้องข้ามต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ซึ่งคงเป็นเพราะผมเดินทางเข้ามาด้วยกางเกงขาสั้นและเสื้อแขนสั้น จึงไปโดนขนของแมลงเข้าที่ขอนไม้ที่ขวางทางที่จะต้องปีนลงไปทำให้คันไปทั้งตัว ต้องวิ่งลงไปแช่และล้างน้ำ
จากประสบการณ์นี้ทำให้ผมต้องจดจำไว้ว่าไม่ควรประมาทโดยการแต่งการไม่รัดกุมใส่กางเกงและเสื้นแขนสั้นอีกต่อไป